Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการนิเทศที่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่สอนของครูประถมศึกษาที่สอนไม่ตรงวิชาเอกของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้สอนระดับประถมศึกษาในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้สอนระดับประถมศึกษาในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 จำนวน 278 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ รูปแบบการนิเทศที่ศึกษา ประกอบด้วย รูปแบบการนิเทศแบบคลินิก รูปแบบการนิเทศแบบร่วมพัฒนาวิชาชีพ รูปแบบการนิเทศแบบพึ่งตนเอง และรูปแบบการนิเทศโดยผู้บริหาร ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการนิเทศแบบพึ่งตนเองส่งผลต่อ การปฏิบัติหน้าที่สอนในภาพรวมมากที่สุด โดยมีความสัมพันธ์เชิงบวกและสามารถอธิบายความแปรปรวนได้ ร้อยละ 8.5 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 2) รูปแบบการนิเทศแบบพึ่งตนเองผลต่อการปฏิบัติหน้าที่สอนด้านการจัดการเรียนรู้ผ่านกระบวนการคิดและปฏิบัติจริง และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้มากที่สุด โดยมีความสัมพันธ์เชิงบวกและสามารถอธิบายความแปรปรวนได้ ร้อยละ 8.2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 3) รูปแบบการนิเทศแบบพึ่งตนเองส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่สอนด้านการใช้สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ และแหล่งเรียนรู้ที่เอื้อต่อการเรียนรู้มากที่สุด โดยมีความสัมพันธ์เชิงบวกและสามารถอธิบายความแปรปรวนได้ ร้อยละ 4.0 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 4) รูปแบบการนิเทศแบบพึ่งตนเองส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่สอนด้านการบริหารจัดการชั้นเรียนเชิงบวกมากที่สุด โดยมีความสัมพันธ์เชิงบวกและสามารถอธิบายความแปรปรวนได้ ร้อยละ 10.0 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 5) รูปแบบการนิเทศแบบพึ่งตนเองส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่สอน ด้านการตรวจสอบและประเมินผู้เรียนอย่างเป็นระบบ และนำผลมาพัฒนาผู้เรียนมากที่สุด โดยมีความสัมพันธ์เชิงบวกและสามารถอธิบายความแปรปรวนได้ ร้อยละ 6.3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 6) รูปแบบการนิเทศแบบพึ่งตนเองส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่สอนด้านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และให้ข้อมูลสะท้อนกลับเพื่อปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนรู้มากที่สุด ซึ่งมีความสัมพันธ์เชิงบวกและสามารถอธิบายความแปรปรวนได้ ร้อยละ 4.3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001