Abstract:
การวิจัยในอดีตชี้ชัดว่าการนำหลักการออกแบบร่วมมาใช้เพื่อส่งเสริมการวิจัยแบบเครือข่ายอาจเพิ่มประสิทธิผลของการวิจัยของครูได้ เพราะการออกแบบร่วมช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการจำเป็นของผู้เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้จึงออกแบบเพื่อ 1) พัฒนาโมเดลการวัดและเครื่องมือวัดการออกแบบร่วมในการวิจัย และการวิจัยแบบเครือข่าย 2) วิเคราะห์อิทธิพลระหว่างโครงสร้างการทำวิจัยของครูที่ใช้การออกแบบร่วม ระดับความเข้มของการวิจัยแบบเครือข่าย และผลผลิตการวิจัย และ 3) ออกแบบและพัฒนาโปรแกรมเฉพาะบุคคลเพื่อส่งเสริมการทำวิจัยแบบเครือข่ายของครู ในขั้นแรก ใช้วิธีการสังเคราะห์เอกสารเพื่อพัฒนาโมเดลการวัดและเครื่องมือวัดการออกแบบร่วมและการวิจัยแบบเครือข่าย ขั้นต่อมา ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างการออกแบบร่วม ความเข้มของการวิจัยแบบเครือข่าย และผลผลิตการวิจัย ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเครื่องมือแบบสอบถามที่พัฒนาขึ้น โดยมีผู้ให้ข้อมูลคือ ครู 288 คน ผู้บริหารสถานศึกษา 62 คน ศึกษานิเทศก์ 74 คน และอาจารย์มหาวิทยาลัย 61 คน โดยใช้สถิติเชิงบรรยายและการวิเคราะห์เครือข่ายสังคม จากนั้น นำผลจากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ดังกล่าวมาใช้ในการออกแบบโปรแกรมเฉพาะบุคคลเพื่อส่งเสริมการวิจัยที่ใช้หลักการออกแบบร่วมสำหรับครู ผลการวิจัยที่สำคัญมีดังนี้
1) โมเดลการวัดตัวแปรการทำวิจัยโดยใช้การออกแบบร่วมและการวิจัยแบบเครือข่าย มี 4 องค์ประกอบคือ สำรวจปัญหา นิยามปัญหา ลงมือพัฒนา และประเมินสะท้อนผล ผลการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาให้ผลที่น่าพึงพอใจเนื่องจากเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยข้อรายการกิจกรรมการออกแบบร่วมที่พบได้จากประสบการณ์ในการทำวิจัยระหว่างครูและผู้เกี่ยวข้อง 2) โครงสร้างการทำวิจัยแบบเครือข่ายระหว่างครูและผู้เกี่ยวข้องจำแนกได้ 7 รูปแบบ ได้แก่ จุดเชื่อมจุด (25.38%) โซ่หรือเส้นตรง (32.31%) มีผู้โดดเด่น (18.46%) ต้นไม้ (4.62%) วง (1.54%) ผสม (10.77%) และไม่มีรูปร่าง (6.92%) ในเครือข่ายเหล่านี้ โครงสร้างการวิจัยแบบผสมมีระดับของการออกแบบร่วมสูงที่สุด (COD = .819) ขณะที่โครงสร้างแบบไม่มีรูปร่างมีระดับความเข้มของการวิจัยแบบเครือข่ายสูงที่สุด (SNR = .769) นอกจากนี้ โครงสร้างการวิจัยแบบจุดเชื่อมจุดเป็นโครงสร้างที่มีทั้งระดับของการออกแบบร่วมและระดับความเข้มของการวิจัยแบบเครือข่ายต่ำที่สุด (COD = .159 และ SNR = .034) 3) ครูที่มีระดับการออกแบบร่วมในการวิจัยอยู่ในระดับสูง มีส่วนช่วยทำให้วิจัยแบบเครือข่ายได้อย่างเข้มแข็งมากขึ้น (r = .582, p < .001) ทั้งนี้ ครูที่มีระดับการออกแบบร่วมสูงและมีความเข้มของการวิจัยแบบเครือข่ายสูงได้ผลผลิตการวิจัยสูงที่สุด (M = 8.41, SD = 3.67) อย่างไรก็ตาม ครูที่มีระดับของการออกแบบร่วมและมีความเข้มของการวิจัยแบบเครือข่ายแตกต่างกัน จะทำให้ได้ผลผลิตการวิจัยที่แตกต่างกัน (BF10 = 29.94, F(2, 263) = 3.10, p = .047) และ 4) โปรแกรมเฉพาะบุคคลที่พัฒนาขึ้นในครั้งนี้มีเนื้อหาสาระ 2 ส่วน ส่วนที่ 1 ชุดแบบประเมินเพื่อใช้จำแนกลักษณะธรรมชาติการทำวิจัยของครู และส่วนที่ 2 แนวทางการส่งเสริมการทำวิจัยแบบเครือข่ายของครูที่เน้นการใช้การออกแบบร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทำงาน ผลการทดลองใช้โปรแกรมพบว่า ผู้ใช้มีความรู้สึกทางบวกต่อโปรแกรมและให้ข้อเสนอแนะบางประการในการปรับปรุงพัฒนาโปรแกรมในอนาคต