Abstract:
ยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทำให้การเรียนรู้ของนักเรียนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จึงควรมีแนวทางการส่งเสริมการรับมือของครูที่มีประโยชน์และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เพื่อให้ครูสามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้
ของนักเรียนในปัจจุบัน 2) เพื่อวิเคราะห์การจัดการเรียนรู้ของครูตามทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยมและการปฏิบัติการด้านเทคโนโลยีของครู 3) เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลการจัดการเรียนรู้ของครูตามทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยม และการปฏิบัติการด้านเทคโนโลยีของครูที่มีต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน 4) เพื่อจัดทำแนวทางการรับมือของครูสำหรับการเรียนรู้ของนักเรียนตามทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยมในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน การวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การศึกษาและวิเคราะห์อิทธิพลการจัดการเรียนรู้ของครูตามทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยม และการปฏิบัติการด้านเทคโนโลยีของครู ที่มีต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน ตัวอย่างวิจัยมีลักษณะข้อมูลเป็นแบบระดับสูงที่มีข้อมูล ในระดับล่างซ้อนอยู่ (nested) รวมจำนวนตัวอย่างในระดับครู 64 คน และระดับนักเรียน 1,157 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามสำหรับครูและนักเรียนวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติบรรยาย และวิเคราะห์เส้นทางอิทธิพลด้วยโปรแกรม Process macro for SPSS ระยะที่ 2 การจัดทำแนวทางการรับมือของครูสำหรับการเรียนรู้ของนักเรียนตามทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยมในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากระยะที่ 1 ร่วมกับการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน และปรับแก้ไขโดยสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ผลการศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน พบว่า นักเรียนมีพฤติกรรมการเรียนรู้ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายตัวแปรสังเกตได้ พบว่า
ทุกตัวแปรมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาแยกตามสังกัด พบว่านักเรียนทั้ง 3 สังกัดโรงเรียนมีพฤติกรรมการเรียนรู้ไม่แตกต่างกัน 2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณที่ได้จากการทำแบบประเมินตามการรับรู้ของตัวอย่างวิจัย พบว่า นักเรียนมีพฤติกรรมการเรียนรู้ในภาพรวมอยู่ใน
ระดับมาก ครูมีการจัดการเรียนรู้ของครูตามทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยมในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนการปฏิบัติการด้านเทคโนโลยีของครูในภาพรวมอยู่ในระดับมาก
ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อมูลเชิงคุณภาพที่พบว่า ครูมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีในการเรียนรู้ที่ต่ำกว่านักเรียน ทำให้ไม่สามารถใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการจัด
การเรียนรู้ได้ตามความต้องการของนักเรียนที่อยู่ในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันได้ 3. ผลการวิเคราะห์เส้นทางอิทธิพล พบว่าการปฏิบัติการด้านเทคโนโลยีของครู ได้รับอิทธิพลทางตรงจากการจัดการเรียนรู้ของครูตามทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้วยค่าสัมประสิทธิ์อิทธิพลเท่ากับ 0.591 นอกจากนี้พฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนได้รับอิทธิพลทางตรงจากการจัดการเรียนรู้ของครูตามทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยม และ การปฏิบัติการด้านเทคโนโลยีของครู อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้วยค่าสัมประสิทธิ์อิทธิพลเท่ากับ 0.002 และ 0.081 ตามลำดับ และได้รับอิทธิพลทางอ้อมจากการจัดการเรียนรู้ของครูตามทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยม อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้วยค่าสัมประสิทธิ์อิทธิพล
เท่ากับ 0.021 4. แนวทางการส่งเสริมการรับมือของครูสำหรับการเรียนรู้ของนักเรียนตามทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยมในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
คือ 1) ครูปรับเปลี่ยนกรอบคิดเรื่องการจัดการเรียนรู้ในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน 2) ครูพัฒนาทักษะความสามารถในการใช้เทคโนโลยีในการปฏิบัติงานและการจัดการเรียนรู้ของตนเอง 3) ครูจัดรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลายทำให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด 4) ครูปรับเปลี่ยนวิธีการวัดประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนให้เหมาะสมกับยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน 5) ครูจัดการเรียนรู้ที่เสริมสร้างทักษะการสืบค้นข้อมูล และการพิจารณาความน่าเชื่อถือของข้อมูลให้กับนักเรียน 6) ครูจัดการเรียนรู้ที่เสริมสร้างทักษะการเชื่อมโยงให้กับนักเรียน 7) ผู้บริหารโรงเรียนสนับสนุนเรื่องความพร้อมของอุปกรณ์ให้กับครู 8) ผู้บริหารโรงเรียนปรับกฎระเบียบในการทำงานของครูให้มีความยืดหยุ่นเหมาะสมกับการออนไลน์มากขึ้น 9) ผู้บริหารโรงเรียนจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีให้ครู และ
10) ผู้บริหารโรงเรียนหรือครูจัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเพื่อนครู และสร้างกลุ่มชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ