Abstract:
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเหมาะสมของการกำหนดความรับผิดทางอาญาของผู้จัดการชุมนุมจากการกระทำของผู้ชุมนุมตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 มาตรา 31 วรรคสอง โดยผู้วิจัยได้ทำการศึกษาตั้งแต่ทฤษฎีเกี่ยวกับการกำหนดความรับผิดอาญา โครงสร้างความรับผิดทางอาญา รวมถึงหลักความรับผิดที่เกิดจากการกระทำของบุคคลอื่น (Vicarious Liability) และนำไปวิเคราะห์เปรียบเทียบกับกฎหมายของประเทศอังกฤษ ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศมาเลเซีย และประเทศสิงคโปร์ เพื่อให้ได้มาซึ่งแนวทางที่เหมาะสมเกี่ยวกับการกำหนดความรับผิดทางอาญาของผู้จัดการชุมนุมจากการกระทำของผู้ชุมนุมต่อไป จากการศึกษาของผู้วิจัยพบว่าการที่พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 มาตรา 31 วรรคสองกำหนดให้ผู้จัดการชุมนุมต้องรับผิดในทางอาญาจากการกระทำของผู้ชุมนุมนั้นมีปัญหาที่สำคัญ 2 ประการ1. การกำหนดความรับผิดทางอาญาของผู้จัดการชุมนุมไม่เป็นไปตามหลักการกำหนดความรับผิดในทางอาญาทั่วไปที่กำหนดให้บุคคลต้องรับผิดเฉพาะแต่การกระทำของตนเองเท่านั้น โดยที่เมื่อศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะในต่างประเทศที่ผู้วิจัยได้ทำการเลือกมาศึกษาวิจัยเปรียบเทียบแล้วพบว่าในต่างประเทศไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดที่เกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะที่กำหนดให้ผู้จัดการชุมนุมต้องรับผิดจากการกระทำของผู้ชุมนุมเช่นเดียวกับรูปแบบของกฎหมายไทย 2. การกำหนดความรับผิดทางอาญาแก่ผู้จัดการชุมนุมจากการกระทำของผู้ชุมนุมจำเป็นต้องพิจารณาถึงนิยามคำว่า “ผู้จัดการชุมนุม” ประกอบด้วย ซึ่งการกำหนดคำนิยามคำว่าผู้จัดการชุมนุมตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 มาตรา 4 ประกอบกับมาตรา 10 วรรคสองนั้น บัญญัติไว้อย่างกว้างจนส่งผลให้บุคคลจำนวนมากอยู่ในฐานะผู้จัดการชุมนุมทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้จัดการชุมนุมตามความเป็นจริง โดยที่เมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายของต่างประเทศแล้วพบว่ามีการกำหนดคำนิยามคำว่าผู้จัดการชุมนุมไว้ชัดเจนกว่าซึ่งเหมาะแก่การนำมาปรับใช้กับกฎหมายไทย ดังนั้น ผู้วิจัยจึงขอเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมคำนิยามคำว่าผู้จัดการชุมนุมตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 มาตรา 4 เพื่อให้การกำหนดว่าบุคคลใดอยู่ในฐานะผู้จัดการชุมนุมมีความชัดเจนมากขึ้น และ ควรมีการแก้ไขเพิ่มเติมการกำหนดความรับผิดทางอาญาแก่ผู้จัดการชุมนุมจากการกระทำของผู้ชุมนุม โดยเปลี่ยนเป็น ให้ผู้จัดการชุมและผู้ชุมนุมต่างต้องรับผิดทางอาญาจากการกระทำของตนเอง เพื่อให้เป็นไปตามหลักสากลมากยิ่งขึ้น