Please use this identifier to cite or link to this item: https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/71600
Title: การใช้วัสดุกลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์อุดช่องรากฟันกราม และลักษณะทางจุลกายวิภาคของการยึดเกาะของเนื้อเยื่อเหงือก บนวัสดุกลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์
Other Titles: Use of glass ionomer cement to fill furcation involvement and histological characteristics of the gingival attachment on glass ionomer cement
Authors: อภิชาติ ศิลปอาชา
Advisors: สิทธิพร เทพบรรเทิง
สมพร สวัสดิสรรพ์
Other author: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. บัณฑิตวิทยาลัย
Subjects: โรคปริทันต์
กลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์
ซีเมนต์ทางทันตกรรม
คลองรากฟัน
เยื่อปริทันต์
Glass Ionomer Cements
Furcation Defects
Dental Restoration, Permanent
Issue Date: 2539
Publisher: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract: วัสดุกลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์ เป็นวัสดุที่มีปฏิกิริยาต่อเนื้อเยื่อของร่างกายน้อย สามารถใช้บูรณะฟันบริเวณที่อยู่ชิดขอบเหงือกได้โดยไม่ทำให้เหงือกอักเสบ ในงานวิจัยนี้เป็นการศึกษาปฏิกิริยาของอวัยวะปริทันต์ที่มีต่อวัสดุกลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์ที่ใช้ในการบูรณะรากฟัน และช่องรากฟันที่มีโรคปริทันต์ โดยการวิจัยแบ่งเป็น 2 ตอนการวิจัยตอนที่ 1 เป็นการศึกษาผลทางคลินิกของการใช้วัสดุกลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์ อุดช่องรากฟันกราม ระดับที่ 2 และระดับที่ 3 โดยศึกษาในฟันกรามจำนวน 5 ซี่ ก่อนการผ่าตัดเพื่ออุดช่องรากฟัน ฟันเหล่านี้ได้รับการขูดหินน้ำลายและเกลารากฟัน วัดดัชนีคราบจุลินทรีย์ ดัชนีเหงือกอักเสบ ระดับขอบเหงือก และร่องลึกปริทันต์ การผ่าตัดทำโดยเปิดแผ่นเหงือก เกลารากฟัน กำจัดคราบหินน้ำลายและเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการในบริเวณช่องรากฟันกราม จากนั้นอุดปิดช่องรากฟันกรามด้วยวัสดุกลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์ และแต่งให้วัสดุเรียบกลืนไปกับขอบกระดูกและผิวรากฟัน แล้วจึงเย็บปิดแผล เมื่อครบเวลา 8 สัปดาห์ วัดดัชนีคราบจุลินทรีย์ ดัชนีเหงือกอักเสบ ระดับขอบเหงือก และ ร่องลึกปริทันต์อีกครั้ง เมื่อนำค่าดังกล่าวนี้เปรียบเทียบก่อนและหลังการผ่าดัด โดยใช้การทดสอบแบบ McNemar ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
พบว่า ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ จากภาพถ่ายรังสีพบลักษณะเงาโปร่งรังสีของการละลาย ของกระดูกในบริเวณใต้วัสดุกลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์ และเมื่อเปิดแผ่นเหงือกออกดูพบการละลายของกระดูกในบริเวณที่อยู่ชิดกับวัสดุกลาสไอโอโนฒอร์ซีเมนต์การวิจัยตอนที่ 2 เป็นการศึกษาลักษณะทางจุลกายวิภาคของเนื้อเยื่อเหงือก บริเวณที่สัมผัสกับวัสดุกลาสไอ โอโนเมอร์ซีเมนต์ โดยศึกษาในฟันที่จะถอนจำนวน 4 ซี่ แบ่งฟันเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ฟันทั้ง 2 กลุ่มได้รับการผ่าตัดเปิดแผ่นเหงือก ทำความสะอาดรากฟันและกำจัดเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการ ในฟันกลุ่มทดลองได้กรอผิวรากฟัน และอุดปิดด้วยวัสดุกลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์ในตำแหน่งที่ชิดขอบกระดูก แต่งวัสดุอุดให้เรียบตามลักษณะผิวรากฟันเดิม ส่วนในฟันกลุ่มควบคุม ได้กรอเป็นร่องชิดกับขอบกระดูก แล้วจึงเย็บปิดแผล เมื่อครบเวลา 8 สัปดาห์ ถอนฟันออกมาโดยให้มีเนื้อเหงือกติดออกมาบางส่วน เมื่อนำมาศึกษาทางจุลกายวิภาค พบว่าในฟันกลุ่มควบคุม มีการละลายของ กระดูกตํ่ากว่าระดับเดิม และพบเยื่อบุผิวเชื่อมต่อปกคลุมพอดีบริเวณรอยที่กรอไว้ โดยระหว่างเยื่อบุผิวเชื่อมต่อและขอบกระดูก เป็นเนื้อเยื่อยึดต่อ ส่วนในฟันกลุ่มทดลอง พบการละลายของกระดูกเช่นกัน และพบเยื่อบุผิวเชื่อมต่องอกยาวเลย บริเวณที่เป็นวัสดุกลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์
Other Abstract: Glass ionomer cement is a material that has low tissue response. It can be used to I restore the tooth surface near the gingival margin without causing gingival inflammation. The purpose of this study is to investigate the response of periodontal tissues jo the glass ionomer cement - restored root surfaces and furcation. The study was divided into two parts. Part I was a clinical study of using glass ionomer cement to fill class II and class III furcation. The study was performed in five molars. Before surgical procedures, all teeth were cleaned and the plaque index, gingival index, gingival recession and probing depth were recorded. The full thickness flap was opened during the surgical procedure. The teeth were cleaned and filled the furcation with glass ionomer cement. The filling material was polished to blend to the root surface and the bone. Then the flap was sutured. Eight weeks after surgery, plaque index, gingival] index, gingival recession and probing depth were recorded again. Comparative study of the indices and values between before and after surgery by using McNemar test and 95 % of confidence, the result showed that there was no statistical difference between these two sets of data. Radiographic study, there were radiolucent areas under glass ionomer cement fillings indicating bone resorption. Clinical j study by reopening the flaps, the resorption of bone indicating under the fillings was clearly seen. Part II was a histological study of gingival tissues in contact with glass ionomen cement. The study was performed in four teeth which were committed to be extracted. The teeth were devided into experimental group and control group. Under the surgical procedure, the teeth in both groups were cleaned and cavities were prepared in the root surfaces above the margin of alveolar bone. The cavities in the experimental group were filled with glass ionomer cement in the normal contour j shape whereas the cavities in the control group were left unfilled. Eight weeks after surgery, the tooth with a small piece of gingival tissue was removed and prepared for histological study. In control group 7the result showed that there was resorption of alveolar bone and junctional epithelium proliferation to the lower border <j)f the notch. Between junctional epithelium and bone, there was connective tissue attachment between root surface and the gingival tissue. In experimental group, there was also bone resorption and elongation of the junctional epithelium beyond the lower border of restoration.
Description: วิทยานิพนธ์ (วท.ม.)--จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2539
Degree Name: วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level: ปริญญาโท
Degree Discipline: ปริทันตศาสตร์
URI: http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/71600
ISBN: 9746358987
Type: Thesis
Appears in Collections:Grad - Theses

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
Apichart_si_front_p.pdf923.43 kBAdobe PDFView/Open
Apichart_si_ch1_p.pdf873.76 kBAdobe PDFView/Open
Apichart_si_ch2_p.pdf1.66 MBAdobe PDFView/Open
Apichart_si_ch3_p.pdf887.11 kBAdobe PDFView/Open
Apichart_si_ch4_p.pdf2.21 MBAdobe PDFView/Open
Apichart_si_ch5_p.pdf912.02 kBAdobe PDFView/Open
Apichart_si_back_p.pdf921.5 kBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.